PwC เผยกิจการควบรวมมากสุดในไทยปี’64 อุตสาหกรรม “บริการทางการเงิน-เทคโนโลยี” ชี้ปริมาณ-มูลค่าการซื้อขายและควบรวมปีนี้โตต่อเนื่อง พร้อมกาง 6 ธุรกิจเทรนด์ M&A มาแรงปี’65 แรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล

วันที่ 6 เมษายน 2565 นางสาวฉันทนุช โชติกพนิช หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานดีลส์ บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2564 เป็นปีที่มีปริมาณการซื้อขายกิจการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากธุรกิจและผู้คนเริ่มปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ และคาดว่าปริมาณและมูลค่าการซื้อขายและควบรวมกิจการในปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน แม้จะมีการแพร่ระบาดของโอมิครอน รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นก็ตาม

เพราะผู้นำธุรกิจเริ่มมองเห็นแนวโน้มของโลกในระยะต่อไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงหันมาทบทวนกลยุทธ์และธุรกิจในพอร์ตโฟลิโอของตนเอง ขณะที่บางธุรกิจต้องการปรับโครงสร้างต้นทุน หรือแสวงหาธุรกิจอื่นที่ตนยังขาดเพื่อรักษาอัตราการเติบโต โดยกิจการที่มีการควบรวมกันมากที่สุดในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่นั้นเป็นกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและเทคโนโลยี

“เทรนด์ของการทำดีลซื้อขายและควบรวมกิจการของไทยในปีนี้จะคล้ายคลึงกับทั่วโลก แม้กระแสอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ขยับขึ้นสูง และกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เกิดอุปสรรคต่อโครงสร้างการเงินสำหรับการบรรลุข้อตกลงในการทำดีลบ้าง แต่สภาวการณ์ดังกล่าวกลับจะยิ่งเป็นตัวผลักดันให้เกิดการควบรวมกิจการมากขึ้น บริษัทจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เข้าสู่ตลาดใหม่ และแปลงไปสู่ดิจิทัลเพื่อเพิ่มคุณค่ากิจการอย่างยั่งยืน” นางสาวฉันทนุช กล่าว

โดยแนวโน้มสอดคล้องกับรายงาน Global M&A Industry Trends: 2022 Outlook ของ PwC ที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการวิเคราะห์กิจกรรมดีลทั่วโลก เพื่อประเมินถึงแนวโน้มปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการ พบว่าปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมา

ควบรวมปี’64 กว่า 6.2 หมื่นรายการ
โดยการซื้อขายและควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) ที่ประกาศออกมามีจำนวนกว่า 62,000 รายการในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้น 24% จากปี 2563 ขณะที่มูลค่าของการซื้อขายและควบรวมกิจการที่เปิดเผยต่อสาธารณะก็แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (รวมรายการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป) หรือเพิ่มขึ้น 57% จากปี 2563 และทำลายสถิติเดิมที่ 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2550

นางสาวฉันทนุชกล่าวต่อว่า สถานการณ์การควบรวมกิจการทั่วโลกนั้นมีการแข่งขันที่สูงขึ้นในกลุ่มนักลงทุนที่จะทำการซื้อขายกิจการ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนทางการเงิน เช่น กองทุนไพรเวตอีควิตี้ หรือนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Corporates หรือ strategic investors) และการที่นักลงทุนมีเงินทุนที่ระดมมาผ่านทางตลาดทุน และจากบริษัทที่สร้างขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุนไปซื้อบริษัทอื่น (Special Purpose Acquisition Company: SPAC) ในสหรัฐ พร้อมใช้เพื่อสร้างการเติบโตมากกว่าปีก่อน ๆ

ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า ราคาซื้อขายกิจการจะสูงขึ้นตามไปด้วย เมื่อนักลงทุนซื้อกิจการมาในราคาที่สูงรวมกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นควบคู่กัน จึงเกิดเป็นความกดดันที่นักลงทุนต้องสร้างมูลค่ากิจการให้เกิดผลกำไรที่สูงกว่าที่เคยทำมาในอดีต

แนวโน้ม M&A ในอุตสาหกรรมหลักทั่วโลกในปี’65
1.อุตสาหกรรมตลาดผู้บริโภค: พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจะยังคงเป็นตัวเร่งให้เกิดกิจกรรม M&A ในปีนี้ เนื่องจากองค์กรธุรกิจและกองทุนไพรเวตอีควิตี้ ต้องทบทวนพอร์ตโฟลิโอใหม่เพื่อรองรับแนวโน้มของผู้บริโภคที่กำลังเกิดขึ้น เช่น การบริโภคอย่างมีสติ (Conscious consumerism) ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจรูปแบบใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

2.อุตสาหกรรมพลังงาน สาธารณูปโภค และทรัพยากร: แนวคิดในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) กำลังขับเคลื่อนกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมนี้ โดยการควบรวมกิจการจะถูกนำมาใช้เพื่อปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนและแสวงหาโอกาสในด้าน ESG เพื่อสร้างมูลค่าสำหรับการเติบโต เช่น พลังงานหมุนเวียน การดักจับคาร์บอน การจัดเก็บแบตเตอรี่ ไฮโดรเจน โครงสร้างพื้นฐานการส่งสัญญาณ และเทคโนโลยีสะอาดอื่น ๆ

3.อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน: การแข่งขันเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการตลาดเชิงกลยุทธ์จะยังคงกระตุ้นให้เกิดการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายและควบรวมกิจการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน ในขณะเดียวกัน สินทรัพย์ที่ประสบปัญหา (Distressed assets) ในภาคธนาคารและประกันภัย จะตกเป็นเป้าหมายในการซื้อขายและควบรวมกิจการได้เช่นเดียวกัน

4.อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ: บริษัทยาและเวชภัณฑ์จะมองหาวิธีปรับพอร์ตโฟลิโอเติบโตผ่านการซื้อขายและควบรวมกิจการ ซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การผลิตวัคซีนรูปแบบใหม่ (Messenger Ribonucleic Acid: mRNA) การบำบัดด้วยเซลล์และยีนในบริการด้านสุขภาพ แพลตฟอร์มการดูแลเฉพาะทาง การแพทย์ทางไกล (Telehealth) และเทคโนโลยีด้านสุขภาพอื่น ๆ เป็นต้น

5.อุตสาหกรรมการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและยานยนต์: การทบทวนพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์และ ESG กำลังขับเคลื่อนกิจกรรม M&A ในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายและควบรวมกิจการเพื่อเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและขับเคลื่อนอัตโนมัติ แบตเตอรี่และเทคโนโลยีการชาร์จ การผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุยุคใหม่ และการผลิตด้วยพลังงานทางเลือก

6.อุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม: อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักจากการเข้ามาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เข้าสู่กระแสหลักรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เทคโนโลยีจึงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีปริมาณและมูลค่าการซื้อขายและควบรวมกิจการสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น ในขณะที่บริษัทจากอุตสาหกรรมอื่นก็จะพยายามเข้าถึงเทคโนโลยีหลัก หรือความสามารถทางดิจิทัลของบริษัทในอุตสาหกรรมกลุ่มนี้เช่นกัน

“การเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลน่าจะเป็นแรงกดดันอย่างต่อเนื่องให้ทุกอุตสาหกรรมต้องกลับมาทบทวนพอร์ตโฟลิโอในปีนี้ แม้การทำ M&A จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การทบทวนธุรกิจเดิมและความสามารถในการทำกำไรก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน” นางสาวฉันทนุชกล่าว

เพราะเมื่อกลับมาทบทวนจะช่วยให้เห็นภาพว่า ธุรกิจในปัจจุบันที่ของเรานั้นยังมีศักยภาพในการเติบโตท่ามกลางแนวโน้มโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ ทำให้ช่วงผ่านมาเราจะเห็นหลาย ๆ บริษัทตัดขายธุรกิจที่ผลการดำเนินงานไม่ดี หรือไม่ใช่ธุรกิจหลักขององค์กร และอีกหลายรายพยายามรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยการซื้อกิจการใหม่เข้ามาเสริม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กิจการที่สำคัญ ไม่แพ้การเติบโตของรายได้และการลดต้นทุน

ฉันทนุช โชติกพนิช หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานดีลส์ บริษัท PwC ประเทศไทย
นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ยังส่งผลโดยตรงกับการบริหารซัพพลายเชนทั่วโลก การเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการวัตถุดิบ แรงงาน การขนส่ง อาจทำให้นักลงทุนเปลี่ยนกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงด้วยการมีแหล่งวัตถุดิบในประเทศ หรือในละแวกใกล้เคียง หรือ Nearshore มากขึ้นผ่านการซื้อขายกิจการ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อาจมีการหยุดชะงักหรือล่าช้าในการปิดการซื้อขายกิจการ

อนึ่ง PwC ประเทศไทย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 63 ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยปัจจุบันมีบุคลากรมากกว่า 1,800 คนในประเทศไทย

โดย PwC มีเป้าประสงค์คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 156 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 295,000 คน

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance